Tuesday, September 30, 2025

อุตรดิตถ์ ผู้ว่าฯสั่งด่วน ระดมทุกหน่วยช่วยเหลือทองแสนขัน ระทม ! น้ำหลากท่วมกว่า 2,500 ครัวเรือน

วันนี้ (30 กันยายน 2568 ) นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยอำเภอทองแสนขัน สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าช่วยเหลือประชาชน หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง จากอิทธิพลของพายุโซนร้อนบัวลอยส่งผลให้น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมหลายตำบลในอำเภอทองแสนขัน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 8,000 คน
ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีครัวเรือนถูกน้ำท่วมกว่า 2,500 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลห้วยคต ตำบลบ่อทอง ตำบลบ่อเบี้ย และตำบลน้ำพี้ บ้านเรือนบางหลังได้รับความเสียหายหนัก ถนนหลายสายถูกตัดขาด ประชาชนต้องอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย

พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 5,800 ไร่ ทั้งนาข้าว พืชผล และบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ขณะเดียวกันยังมีรายงานปศุสัตว์สูญหายจำนวนหนึ่ง
โดยนายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์นั่งเรือท้องแบนตรวจพื้นที่ย่านเศรษฐกิจตัวอำเภอทองแสนขัน พร้อมสั่งการให้นายอำเภอทองแสนขันบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ปภ.จังหวัด โรงพยาบาลทองแสนขัน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยจัดตั้งศูนย์อพยพชั่วคราว พร้อมเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ศูนย์อพยพชั่วคราว ณ บริเวณเทศบาลทองแสนขัน ขณะนี้ดูแล จำนวน 50 ครัวเรือน และเป็นที่ประกอบอาหารเพื่อส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นอกจากนี้มีมูลนิธิและองค์กรเอกชนต่างๆ อาทิ มูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ มูลนิธิกู้ภัยพญาไม้ และมูลนิธิร่วมกตัญญูอุตรดิตถ์ฯลฯ เข้าร่วมสนับสนุนกำลังและสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยย้ำเฝ้าระวังใกล้ชิด

ผู้ว่าฯกำชับให้ทุกหน่วยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและเสี่ยงน้ำหลากซ้ำ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำและใกล้ลำห้วย ให้เตรียมพร้อมอพยพ หากมีประกาศแจ้งเตือนจากรัฐ
//ป๊อกกองปราบ ภาพ-ข่าว//

พิษณุโลก/ รพ.พิษณุเวช สนับสนุนทางการแพทย์แก่ทีมฟุตบอลพิษณุโลกเอฟซี

วันที่ 30 กันยายน 68 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมสันท์สาระ 1 ชั้น 9 โรงพยาบาลพิษณุเวช พิษณุโลก  นายแพทย์วีรพล ราชคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพิษณุเวช พิษณุโลก ได้ทำพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลพิษณุเวชกับ สโมสรฟุตบอลพิษณุโลก เอฟซี โดย “บอสต้น” ศิริพงษ์ ฐาราชวงศ์ศึก ประธานสโมสรฯ พร้อมสตาฟฟ์โค้ชและนักฟตบอลทีมพิษณุโลกเอฟซี

นายแพทย์วีรพล กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่โรงพยาบาลพิษณุเวชได้ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือกับสโมสรฟุตบอลพิษณุโลก เอฟซี ซึ่งเป็นทีมขวัญใจของชาวจังหวัดพิษณุโลก และเป็นความภาคภูมิใจของเราทุกคน โรงพยาบาลพิษณุเวชยึดมั่นในการให้บริการด้านสุขภาพที่ดีที่สุดแก่ชุมชนมาโดยตลอด และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมกีฬาฟุตบอลที่ไม่เพียงแต่สร้างความสุขและความสามัคคี แต่ยังช่วยให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นด้วย
           ซึ่งการลงนามสัญญาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการรักษาพยาบาลแก่นักกีฬาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บ การตรวจสุขภาพ หรือการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะช่วยให้นักกีฬากลับมาแข็งแกร่งและลงสนามได้เร็วที่สุด นอกจากนี้ สัญญายังสะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสององค์กร ที่จะช่วยกันพัฒนาวงการกีฬาและสุขภาพของชาวจังหวัดพิษณุโลกให้ก้าวไปข้างหน้า ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้นักกีฬาสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมเพื่อสร้างความสุขให้กับแฟนบอลต่อไป

ด้าน "บอสต้น" ศิริพงษ์ ฐาราชวงศ์ศึก ประธานสโมสรฯ กล่าวว่า ในนามสโมสรฟุตบอลพิษณุโลก เอฟซี ขอขอบคุณโรงพยาบาลพิษณุเวช และความร่วมมือในครั้งนี้มีความหมายต่อสโมสรไม่เพียงการสนับสนุนทางการแพทย์และสุขภาพของนักฟุตบอลแต่ยังเป็นพลังสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานทีมและสร้างความมั่นใจให้แก่แฟนบอลทุกๆท่าน ผมเชื่อมั่นว่าการจับมือร่วมกันของสโมสรพิษณุโลกเอฟซีและโรงพยาบาลพิษณุเวช จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม และเป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวพิษณุโลก

เทศบาลตำบลสามง่ามประชุมสภาเทศบาลสมัยที่ 4 ประจำปี 2568

   ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลสามง่าม ชั้น 3 นายจิราวัฒน์  ปึงสุขสมบูรณ์ ประธานสภาเทศบาล พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร นำโดย นายสมรัก มีใจดี นายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม พร้อมด้วย ผศ.ดร. อภิชา พรเจริญกิจกุล นายอานนท์ มีใจดี รองนายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม สมาชิกสภาเทศบาล  หัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุมสภาเทศบาล สมัยสามัญ สมัยที่ 4 ประจำปี 2568 อย่างพร้อมเพียงกัน  โดยการประชุมสภา ครั้งนี้มีญัตติที่เสนอต่อที่ประชุมสภา มีมติเห็นชอบ ทุกหัวข้อ
สมคิด  พรมมี  ผู้สื่อข่าว  นครปฐม

กองทัพภาคที่ 3 จัดพิธี รับ – ส่ง หน้าที่และมอบการบังคับบัญชาแม่ทัพภาคที่ 3

วันที่ 30 กันยายน 2568 ที่ สนามกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 4 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 ได้กระทำพิธีรับส่งหน้าที่และมอบการบังคับบัญชาแม่ทัพภาคที่ 3 ระหว่าง        พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 และ พลตรี วรเทพ บุญญะ            รองแม่ทัพภาคที่ 3 โดยได้มีพิธีการลงนามเอกสาร รับ - ส่งหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 3 และได้กระทำพิธีส่งมอบการบังคับบัญชา โดยมีผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 3 เข้าร่วมพิธี ทั้งนี้ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 กันยายน 2568 
พร้อมกันนี้ พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กล่าวว่า สำหรับแม่ทัพภาคที่ 3 ท่านใหม่ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ และปัญหาในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 อย่างแท้จริง จึงเชื่อมั่นได้ว่าภายใต้การบังคับบัญชาและการบริหารงานของท่านจะสานต่อภาระหน้าที่อันสำคัญนี้ได้อย่างดี ซึ่งจะทำให้กองทัพภาคที่ 3 ได้รับการพัฒนาและมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น 
ขณะที่ พลตรี วรเทพ  บุญญะ รองแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ขอยืนยันเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่า จะทุ่มเทในการปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของกองทัพภาคที่ 3 ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ถูกต้อง ชอบทำ บนพื้นฐานแห่งคุณธรรมและจริยธรรม ทั้งจะปกครองผู้ใต้บัพงคับบัญชาด้วยความเป็นธรรม ตลอดจนร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างสรรค์ความมั่นคง ความสงบสุข และความรักความสามัคคี ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ 
สำหรับ พลตรี วรเทพ  บุญญะ รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 26 และเป็นแม่ทัพคนที่ 43 ของกองทัพภาคที่ 3

อุตรดิตถ์/พิษณุโลก ”อ่างน้ำไผ่”-น้ำปาดแตก ส่งผลต้องเร่งระบายน้ำจากฝายห้วยแมงต่อเนื่อง เตือนให้อพยพด่วน ผู้ว่าฯอุตรดิตถ์-มทบ.35 ลงตรวจ อ.ทองแสนขัน/มอบถุงยังชีพ

แม้ว่า ระดับน้ำทองแสนขันกำลังลด แต่เตรียมไหลไปสู่ที่ต่ำ แถบบ้านวังปลากด ล่าสุดการไฟฟ้าฯประกาศตัดแล้ว ขณะที่นายอำเภอชาติตระการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ ต.บ้านดง
วันนี้ 30 กันยายน 2568 นายชาญชัย แสงสวัสดิ์ นายอำเภอชาติตระการ พร้อมปลัดอำเภอ, ตชด.315, อบต.บ้านดง รุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเขตพื้นที่ตำบลบ้านดงและตำบลบ่อภาค อิทธิพลจากพายุ ''บัวลอย" ทำให้เกิดน้ำป่าส่งผลกระทบบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร พบสะพานและสถานที่ราชการพังเสียหายในหลายหมู่บ้าน อาทิ บ้านนาตอน หมู่ที่ 1 บ้านน้ำจวง หมู่ที่ 13 และบ้านน้ำจวงใต้ หมู่ที่ 16 ต.บ่อภาค ประสบอุทกภัยน้ำท่วม และพบว่า คอสะพานเชื่อมระหว่าง หมู่ 2 บ้านนาเปอะ กับ หมู่ที่ 5 บ้านโคกผักหวาน ต.ชาติตระการ พังเสียหาย ถนนไม่สามารถสัญจรได้  เหตุมวลน้ำซัดแรงจนขาด 
ขณะที่เวลา 12.30 น.วันเดียวกัน จังหวัดอุตรดิตถ์รายงานสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและอุบัติภัยจากพายุบัวลอยว่า  สืบเนื่องจาก”อ่างน้ำไผ่” ต.น้ำไผ่ อ.น้ำปาด แตก ส่งผลให้น้ำจาก”ฝายห้วยแมง”เร่งระบายออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำมีแนวโน้มสูงขึ้น ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยเฝ้าระวังและเตรียมอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยด่วน 
อ.น้ำปาด พบว่า ปริมาณน้ำไหลผ่านมากกว่า 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ริมแม่น้ำปาด ได้แก่ บ้านห้วยไข่เขียด ต.สองคอน, บ้านกกต้อง และบ้านนาไพร ต.ฟากท่า เขตเทศบาลตำบลฟากท่า, บ้านหนองแห้ว ต.บ้านฝาย อ.น้ำปาด, บ้านต้นม่วง ต.เด่นเหล็ก อ.น้ำปาด, บ้านสวน ต.แสนตอ อ.น้ำปาด
ภาพรวมน้ำท่วม 3 อำเภอ คือ อำเภอทองแสนขัน 2 ตำบล 8 หมู่บ้าน (เขตเศรษฐกิจถูกน้ำท่วมสูง 1.5–2 เมตร เป็นครั้งที่ 2), อำเภอน้ำปาด 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน, อำเภอท่าปลา 1 ตำบล 5 หมู่บ้าน 
ล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ และทหารจาก มทบ.35 ได้ลงพื้นที่ตรวจดูสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.ทองแสนขัน พร้อมนำถุงยังชีพไปมอบให้กับผู้ประสพภัย ล่าสุดสถานการณ์ระดับน้ำย่านเศรษฐกิจกำลังลดลงและไหลไปสู่ที่ต่ำแถบบ้านวังปลากด โดยที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประกาศตัดไฟที่ บ้านวังปลากด อ.ทองแสนขันแล้ว
สถานการณ์น้ำท่วมหนักสุดที่ อ.ทองแสนขัน ถือว่า น่าเป็นห่วงสุด มวลน้ำเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน เดือดร้อนจำนวนมาก ถนนสาย 117 (เส้นทางสู่อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่และพิพิธภัณฑ์บ่อเหล็กน้ำพี้) และถนนสายเขื่อนสิริกิติ์–อำเภอน้ำปาด ถูกน้ำท่วมผิวจราจร รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ 
แขวงทางหลวงอุตรดิตถ์ที่ 2 รายงานว่า ถนนสาย 1045 กม.48+900 เกิดดินสไลด์ พอสัญจรได้, ถนนสาย 1045 กม.51+225 เสาไฟฟ้าล้ม 5 ต้น ขวางเส้นทาง ไม่สามารถผ่านได้ อยู่ระหว่างการไฟฟ้าดำเนินการแก้ไข คาดว่าจะสามารถเปิดสัญจรเย็นวันนี้ เมื่อแก้ไขแล้ว ประชาชนสามารถใช้เส้นทางสาย 1045 ผ่านแยกสักใหญ่ และต่อด้วยสาย 117 เพื่อเดินทางไปยังอำเภอน้ำปาด ฟากท่า และบ้านโคกได้ตามปกติ
//ป๊อกกองปราบ ภาพ-ข่าว//

สงขลา “นายกสุพิศ” นำทีมเปิดศูนย์สร้างสุขชุมชนเทพา ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-ผู้พิการ สู่สังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน

วันนี้ (30 ก.ย. 2568) ที่ศูนย์สร้างสุขชุมชนตำบลวังใหญ่ อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์สร้างสุขชุมชนตำบลวังใหญ่ โดยมีคณะผู้บริหาร อบจ.สงขลา อาทิ นางสาวปรินดา ปาลาเร่ รองนายก อบจ.สงขลา นายธนิศร์ ทองสุข เลขานุการนายก อบจ.สงขลา นายวรพงศ์ ปราบ สมาชิกสภา อบจ.สงขลา เขตอำเภอเทพา นายอภิชัย เกื้อก่อบุญ รองปลัด อบจ.สงขลา รักษาราชการแทน ผอ.กองสาธารณสุข อบจ.สงขลา พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเข้าร่วม โดยมีนายเกษมศักดิ์ สุขเกษม นายก อบต.วังใหญ่ กล่าวต้อนรับ และนางรอกีเย้าะ ยูโซะ ผอ.รพ.สต.วังใหญ่ กล่าวรายงาน
นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า อบจ.สงขลาให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง จึงจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดสงขลาเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเชิงรุกในชุมชน พร้อมจัดหาอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการให้เข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย อันจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน
ศูนย์สร้างสุขชุมชนตำบลวังใหญ่แห่งนี้ ไม่เพียงเป็นศูนย์บริการด้านฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางความร่วมมือของชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมีการมอบเวชภัณฑ์แก่บุคลากรทางการแพทย์ และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดสงขลา อบต.วังใหญ่ โรงพยาบาลเทพา และ รพ.สต.วังใหญ่ ในการจัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์สร้างสุขชุมชนร่วมกัน

สงขลา เครือข่ายอนุรักษ์ฯ 40 กลุ่ม เดินหน้าโครงการบ้านปลาร่วมกับฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียมสงขลา ปตท.สผ. เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล

ยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนริมทะเลสาบสงขลาและภาคใต้ชายฝั่งอ่าวไทย
นายนพพร นิลพงศ์  ประธานกลุ่มธนาคารสัตว์น้ำชุมชนประมงพื้นบ้าน (ธนาคารปูบ้านเลค่าย) ต.ระวะ อ.ระโนด จ.สงขลา  กล่าวว่า ปัจจุบันมีสมาชิกเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลแล้วกว่า 40 กลุ่ม เป็นชาวบ้านและชาวประมงพื้นบ้าน รวมกว่า 1,200 คน ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างบ้านปลาในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาและชายฝั่งทะเลอ่าวไทยบริเวณใกล้กับชุมชนที่ตั้งกลุ่ม และร่วมกันกำหนดข้อตกลงแนวเขตอนุรักษ์  โดยมีสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  สำนักงานประมง และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย 
ในปีพ.ศ. 2568 นี้ เครือข่ายอนุรักษ์ฯ ได้ร่วมกันสร้างบ้านปลาและเพิ่มปริมาณการปล่อยลูกปูม้าคืนสู่ธรรมชาติแล้วกว่า 7 พันล้านตัว และกุ้งก้ามกรามกว่า 14 ล้านตัว โดยมีข้อตกลงกำหนดแนวเขตอนุรักษ์ร่วมกันครอบคลุมพื้นที่กว่า 27 ตารางกิโลเมตร ในเขต 2 จังหวัด 9 อำเภอ ได้แก่ อำเภอหัวไทร ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ สิงหนคร เมืองสงขลา  จะนะ เทพา และควนเนียง ซึ่งมีประชากรรวมประมาณ 5 แสนคน ที่จะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการเพิ่มขึ้นของทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลสาบสงขลาและในทะเลอ่าวไทย
“โครงการบ้านปลา จะผสมผสานการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาชุมชน ดำเนินงานโดยชุมชนเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ฯ ชายฝั่งอ่าวไทยและริมทะเลสาบสงขลา โดยการสนับสนุนของบริษัท ปตท.สผ. และ ปตท.สผ.อีดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้จะช่วยฟื้นฟูทะเลอ่าวไทยและทะเลสาบสงขลาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ และยังช่วยให้ชุมชนชายฝั่งและประมงพื้นบ้าน จับสัตว์น้ำได้มากขึ้น  มีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น” นายนพพรกล่าว
ด้านนายประจวบ สุกทอง สมาชิกเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูโลมาอิรวดี บ้านแหลมคูลา ทะเลสาบสงขลา กล่าวว่า สมาชิกกลุ่มจะตกลงกันเว้นการทำประมงในพื้นที่แนวเขตอนุรักษ์ และร่วมกันเพาะฟักพันธุ์สัตว์น้ำ ได้แก่ ลูกกุ้ง ลูกปู และลูกปลา ที่ศูนย์เพาะฟักของแต่ละกลุ่ม  จากนั้นจะนัดหมายทำกิจกรรมร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในวัยที่เหมาะสม ใกล้กับบริเวณแนวเขตอนุรักษ์และบ้านปลาที่สร้างไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์น้ำขนาดเล็กจะเติบโตต่อไปในธรรมชาติได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลรายงานผลการศึกษาเปรียบเทียบรายได้ในปี 2560 กับปี 2563 โดย มทร.ศรีวิชัย พบว่าปริมาณสัตว์น้ำที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนของชาวประมงพื้นบ้านเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า อัตราผลตอบแทนจากการทำประมงสูงขึ้นหลายเท่า โดยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในการทำประมงสำหรับการจับปู เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 2.35 เป็นร้อยละ  28.93 การจับปลาเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ  9.96 เป็นร้อยละ 20.27 และการจับกุ้งเพิ่มจากเดิมร้อยละ 2.86 เป็นร้อยละ 30.44   และในปัจจุบัน ชาวบ้านพบว่าการปล่อยลูกปูม้าและกุ้งก้ามกรามลงสู่ทะเลสาบสงขลา ทำให้ประมงพื้นบ้านจับปูและกุ้งได้ปริมาณมากขึ้น  ส่งผลให้รายได้ความเป็นอยู่ของครอบครัวชาวประมงและชาวบ้านในพื้นที่ดีขึ้น  เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความพึงพอใจต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  การรวมตัวของกลุ่มอนุรักษ์ 40 กลุ่มดังกล่าว ยังก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย 

สิงห์บุรี / พิธีทอดกฐินสามัคคี ณ วัดหน้าพระธาตุ รวมใจทำบุญกฐินสามัคคี สืบสานพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่

วันที่ 23 ตุลาคม 2568 เวลา 08.00 น. ณ วัดหน้าพระธาตุ หมู่ที่ 1 ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดพิธี ทอดกฐินสามัคค...