Thursday, October 23, 2025

สิงห์บุรี / พิธีทอดกฐินสามัคคี ณ วัดหน้าพระธาตุ รวมใจทำบุญกฐินสามัคคี สืบสานพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่

วันที่ 23 ตุลาคม 2568 เวลา 08.00 น. ณ วัดหน้าพระธาตุ หมู่ที่ 1 ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดพิธี ทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2568 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยแรงศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนทั่วสารทิศ
โดยมี พระมหาจรัญ พรหมจาโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดหน้าพระธาตุ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ คุณฤทัยชนก เกตุแก้ว เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยครอบครัวและคณะศรัทธาร่วมพิธีด้วยความนอบน้อม
ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายสุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว (บี้ เดอะสตาร์) ที่เดินทางมาร่วมงานบุญพร้อมคณะของคุณฤทัยชนก เกตุแก้ว สร้างความปลื้มปีติแก่ผู้มาร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก คุณแม่ภรณี ธนาคมานุสรณ์ คุณแม่ดีเด่นแห่งชาติ พร้อมคณะ รวมถึง นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสิงห์บุรี ที่ได้นำกฐินมาร่วมถวายแด่วัดหน้าพระธาตุด้วยความศรัทธา
พร้อมกันนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายกู้เกียรติ นิ่มเนียม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เดินทางมาร่วมงานและร่วมทำบุญกับทางวัด สร้างความปลื้มปีติและเป็นเกียรติแก่พิธีในครั้งนี้อย่างยิ่ง
พิธีดำเนินไปอย่างงดงาม เริ่มจากการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
การสมาทานศีล การถวายผ้าพระกฐินแด่พระสงฆ์รูปที่ 2 โดยคุณฤทัยชนก เกตุแก้ว จากนั้นพระสงฆ์ประกอบพิธีอปโลกนกรรม และคณะเจ้าภาพถวายเครื่องบริวารกฐิน พร้อมผ้าไตรจำนวน 13 ไตร แด่พระสงฆ์ 13 รูป
พิธีในครั้งนี้ คุณฤทัยชนก เกตุแก้ว และคณะ ได้ถวายปัจจัยกฐินรวมเป็นจำนวนเงิน 701,000 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งพันบาทถ้วน) เพื่อสมทบทุนในการบูรณะและพัฒนาวัดหน้าพระธาตุ นับเป็นการทำบุญกฐินครั้งใหญ่ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและแรงกตัญญูต่อพระพุทธศาสนา
ในโอกาสนี้ พระมหาจรัญ พรหมจาโร ได้มอบพระรูปหล่อหลวงพ่อทันใจ ขนาด 5 นิ้ว แด่คุณฤทัยชนก เกตุแก้วเพื่อเป็นสิริมงคลและระลึกถึงบุญกฐินในครั้งนี้

พร้อมกันนั้น พระมหาจรัญ ยังได้เมตตา มอบวัตถุมงคลเหรียญหลวงพ่อทันใจ ให้แก่พุทธศาสนิกชนทุกท่านที่มาร่วมงาน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว
บรรยากาศภายในงานเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส ความสามัคคี และความปีติของผู้ร่วมพิธี นับเป็นการสืบสานประเพณีทอดกฐินสามัคคีที่งดงาม สมบูรณ์ และเปี่ยมด้วยพลังศรัทธาอย่างแท้จริง

ภาพ-ข่าว : สรวัชร สรรเพ็ชร์ ทีมข่าวจังหวัดสิงห์บุรี // รายงาน

ตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก ร่วมพิธีวางพวงมาลา "วันปิยมหาราช"

   วันนี้ (23 ต.ค. 68) เวลา 07.00 น.
พล.ต.ต.นิคม เครือนพรัตน์
ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก พร้อมด้วย
พล.ต.ต.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รอง ผบช. ภ.6, พล.ต.ธีระ ผดุงสุนทร รองแม่ทัพ ภาคที่ 3, นายอำนาจ สิงห์สม ผู้พิพาก ษาหัวหน้าศาลจังหวัดพิษณุโลก, นาง นาตยา บารมี รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก, หัวหน้าส่วนราช การและข้าราชการตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาเพื่อน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม 2568
โดยมี นายบุญเหลือ บารมี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานในพิธีฯ
ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก

“ไฮโดรเจน อีโคโนมี: เศรษฐกิจฐานพลังงานแห่งอนาคตของไทย”ในมุมมองของ“มิสเตอร์เอทานอล-อลงกรณ์”

”เราต้องไม่ปล่อยให้‘โอกาสสีเขียว’นี้หลุดลอย“…..อลงกรณ์
       วันนี้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจาก วิกฤตโลกร้อน และความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหนึ่งใน "เครื่องยนต์ใหม่" ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ คือการพัฒนา “ไฮโดรเจน อีโคโนมี” (Hydrogen Economy) หรือ เศรษฐกิจฐานพลังงานไฮโดรเจน
   ทั้งนี้ในส่วนประเทศไทยได้รับการประเมินว่าตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะมีมูลค่าสูงถึง 82,000 ล้านบาท ภายในปี 2050 ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงเศรษฐกิจของพลังงานทางเลือกนี้ต่ออนาคตของประเทศไทย
นายอลงกรณ์ พลบุตร
เจ้าของฉายา “มิสเตอร์เอทานอล”
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ
ประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้ง มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยได้แสดงวิสัยทัศน์โดยเขียนบทความเรื่อง“ไฮโดรเจน อีโคโนมี: เศรษฐกิจฐานพลังงานแห่งอนาคตของไทย”ไว้อย่างน่าสนใจ มีเนื้อหาสาระดังนี้
   “เมื่อ25ปีก่อนผมผลักดันโครงการเอทานอล เชื้อเพลิงชีวภาพ(Biofuel)พลังงานสีเขียว(GreetEnergy)จากพืชจนมีการผลิตและจำหน่ายแก๊สโซฮอลล์ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ
    วันนี้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจาก วิกฤตโลกร้อน และความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหนึ่งใน "เครื่องยนต์ใหม่" ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ คือการพัฒนา “ไฮโดรเจน อีโคโนมี” (Hydrogen Economy) หรือ เศรษฐกิจฐานพลังงานไฮโดรเจน
    ไฮโดรเจน อีโคโนมี คือภาพของโลกที่เชื้อเพลิงฟอสซิลถูกแทนที่ด้วยไฮโดรเจนอย่างสิ้นเชิง เป็นการสร้างระบบพลังงานที่ สะอาด มีเสถียรภาพสูง และยั่งยืน
มูลค่าเศรษฐกิจไฮโดรเจน : การลงทุนแห่งอนาคต
    ตลาดไฮโดรเจนทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างมากของเศรษฐกิจไฮโดรเจนซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนผ่านกำลังเกิดขึ้นจริง
     อุปสงค์ทั่วโลกที่พุ่งสูง: 
ปัจจุบันโลกมีความต้องการไฮโดรเจนประมาณ 95 ล้านตันต่อปี และคาดการณ์ว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นเป็น กว่า 150 ล้านตัน ภายในปี 2030 และอาจสูงถึง 400 ล้านตัน ภายใน 25 ปีข้างหน้า
    มูลค่าตลาดที่เติบโต: 
ตลาดที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บไฮโดรเจน เพียงอย่างเดียว คาดว่าจะมีมูลค่าเติบโตจาก 1.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็น 4.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030
   การลงทุนมหึมา: 
มีการคาดการณ์ว่า การลงทุนในเทคโนโลยี ไฮโดรเจนสีเขียว ทั่วโลก จะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปี 2030 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2050
    ต้นทุนที่แข่งขันได้: 
ปัจจุบัน ไฮโดรเจนสีเขียว มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ $5-6 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ซึ่งยังสูงกว่าไฮโดรเจนสีฟ้า ($2-3 ดอลล่าร์สหรัฐต่อกิโลกรัม) แต่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุนขนาดใหญ่ (Economy of Scale) ต้นทุนของไฮโดรเจนสีเขียวมีโอกาสลดลงเหลือเพียงประมาณ 50 บาทต่อกิโลกรัม ในอนาคต
    กล่าวโดยสรุป ขณะนี้มีอย่างน้อย 30 ประเทศที่ประกาศนโยบายไฮโดรเจนแห่งชาติอย่างเป็นทางการ
สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่สู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Decarbonization)ซึ่งมีตัวอย่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจนดังนี้
1. สหภาพยุโรป (EU): มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฮโดรเจนโลก โดยมีเป้าหมายติดตั้งเครื่องแยกน้ำไฟฟ้า (Electrolyser) ขนาดใหญ่ถึง 40 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี ค.ศ. 2030 
2. ญี่ปุ่น: ตั้งเป้าเป็น "สังคมไฮโดรเจน" แห่งแรกของโลก ญี่ปุ่นใช้กลยุทธ์การนำเข้าเป็นหลัก โดยกำลังบุกเบิก โครงการขนส่งไฮโดรเจนเหลว (Suiso Frontier) ระยะทางไกลจากออสเตรเลีย และตั้งเป้าจัดซื้อไฮโดรเจนและแอมโมเนีย 12 ล้านตันต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2040 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
3. ซาอุดีอาระเบีย: ผู้นำด้านเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยลงทุนใน โครงการ NEOM เพื่อสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนสีเขียวขนาดใหญ่ระดับโลก ด้วยกำลังการผลิตกรีนไฮโดรเจนและแอมโมเนียสีเขียว มากกว่า 650,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นตัวอย่างของการใช้เงินทุนขนาดใหญ่และศักยภาพพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
4. สเปน: ใช้ศักยภาพพลังงานหมุนเวียนสูงเป็นฐานการผลิต โดยมีเป้าหมายติดตั้งเครื่องแยกน้ำไฟฟ้า 4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี ค.ศ. 2030 รวมถึงการมี โครงการ Puertollano ซึ่งเป็นโรงงานไฮโดรเจนสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ณ ปัจจุบัน
5.ออสเตรีย
โครงการ H2FUTURE ใช้ไฮโดรเจนในการผลิตเหล็กปลอดคาร์บอน แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมหนัก
6.จีน 
ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี ก็กำลังผลักดันการใช้ไฮโดรเจนอย่างกว้างขวาง โดยคาดการณ์ว่าจะมี รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ถึง 1 ล้านคัน ภายในปี 2035 และมูลค่าผลผลิตในอุตสาหกรรมไฮโดรเจนจะพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านหยวน ภายในปี 2025 โดยมีการสาธิตการใช้ FCEV ในเมืองสำคัญ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้
7.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ): 
โครงการ "พืชสีเขียว" (Green Plant) ในเขตเอ็มไพร์สไมล์ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากโรงงาน 1.3 MW ในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ลดการปล่อยคาร์บอนได้ กว่า 830 ตันต่อปี
 8.ออสเตรเลีย: 
กำลังพัฒนาโครงการ "Asian Renewable Energy Hub" ขนาดยักษ์ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 36,000 ล้านดอลลาร์เพื่อผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสำหรับส่งออกไปยังตลาดเอเชีย

ประเทศไทยกับเศรษฐกิจไฮโดรเจน

   ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านนี้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการบรรจุเรื่องพลังงานไฮโดรเจนไว้ใน ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP)ฉบับใหม่ซึ่งจะเริ่มมีการใช้ไฮโดรเจนในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่จะใช้ไฮโดรเจนเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยเฉพาะการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการผลิตไฟฟ้า ที่กำหนดให้มีการเพิ่มสัดส่วนการผสมไฮโดรเจนในระบบท่อก๊าซธรรมชาติ (Blending) ในโรงไฟฟ้าสูงถึง 25% จนถึง 75% ในช่วงปี 2041-2050 ซึ่งจะช่วย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่น้อยกว่า 42% จากระดับปี 2023 นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในประเทศจะมีมูลค่าสูงถึง 82,000 ล้านบาท ภายในปี 2050 ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงเศรษฐกิจของพลังงานทางเลือกนี้ต่ออนาคตของชาติ

บทบาทของ ปตท.  กฟผ. และบริษัทอื่นๆในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจน
นอกจากแผนงานของภาครัฐแล้ว 
หน่วยงานด้านพลังงานหลักของประเทศไทย ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทต่างๆได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีโครงการนำร่องที่สำคัญดังนี้

กลุ่ม ปตท. (PTT Group): การลงทุนครบวงจรและความร่วมมือข้ามชาติ
1.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)ยังคงเป็นแกนนำในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปลายน้ำ โดยความร่วมมือกับ โตโยต้า (Toyota) และ บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส (BIG) ในการเปิด สถานีต้นแบบเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีการ ต่อยอดโครงการ ให้สถานีดังกล่าวพร้อมรองรับการใช้งานของ รถบรรทุกขนส่งและรถหัวลาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการพลังงานคาร์บอนต่ำสำหรับการขนส่งระยะไกล
2.บริษัท ปตท.สผ. (PTTEP)ยังคงเดินหน้าโครงการใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะการชนะการประมูลโครงการพัฒนา ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ขนาดใหญ่ใน ประเทศโอมาน ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการจัดหาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเพื่อนำเข้าและใช้ในประเทศในอนาคต
3.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC)ในฐานะแกนนำธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. กำลังมุ่งมั่นพัฒนา เทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียว และสร้าง ห่วงโซ่คุณค่าไฮโดรเจน (Hydrogen Value Chain) เพื่อรองรับเป้าหมาย Net Zero ของกลุ่ม ปตท. และประเทศ
4.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC)ร่วมมือกับ BIG อย่างต่อเนื่องในการผลักดันการใช้ ไฮโดรเจนพลังงานสะอาด ในกระบวนการผลิตและแสวงหาโอกาสพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านไฮโดรเจนและคาร์บอน โดย GC มีแผนการดำเนินงานที่สอดรับกับกลยุทธ์ 3 Steps Plus เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.): มุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าและการกักเก็บพลังงาน

กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ได้ดำเนินการโครงการเพื่อรองรับการใช้ไฮโดรเจนในการผลิตและกักเก็บพลังงานสะอาด
1.โครงการ Wind Hydrogen Hybrid: เป็นโครงการสาธิตที่ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งใช้ไฟฟ้าจาก กังหันลม ในการผลิต ไฮโดรเจนสีเขียว ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส จากนั้นจึงใช้ไฮโดรเจนที่ได้ไปผลิตไฟฟ้ากลับคืนผ่าน เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ขนาดกำลังผลิต 300 กิโลวัตต์
2.การวิจัยและพัฒนา: กฟผ. ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไฮโดรเจนจากแหล่งต่างๆ เช่น การผลิตไฮโดรเจนจากถ่านหิน ผ่านกระบวนการก๊าซสังเคราะห์ (Coal Gasification) ควบคู่กับเทคโนโลยี การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อให้ได้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ
3.แผนการใช้ในโรงไฟฟ้า: กฟผ. มีแผนพัฒนาและเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการผสมจาก 5% ในช่วงปี 2574-2583 เป็น 10-20% ในระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ

นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในภาคพลังงานและอุตสาหกรรม
1.บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG)
ในฐานะผู้ผลิตก๊าซอุตสาหกรรมรายใหญ่ ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่สนับสนุนการผลิต จัดเก็บ และขนส่งไฮโดรเจนให้กับภาคอุตสาหกรรมและเป็นพันธมิตรหลักในโครงการสถานีเติมไฮโดรเจน
2.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (Thaioil)ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์การกระจายการเติบโต โดยมีการลงทุนในสตาร์ทอัพเทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียวจากต่างประเทศ เพื่อนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในโรงกลั่นและอุตสาหกรรมในประเทศ
3.บริษัทอื่นๆ ในภาคอุตสาหกรรม
บริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น SCG และ GULF ต่างก็มุ่งเน้นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและติดตามการพัฒนาของไฮโดรเจนอย่างใกล้ชิด เพื่อประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตเหล็ก ซีเมนต์ และปิโตรเคมี
บทสรุป: ก้าวสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน
    การสร้าง“เศรษฐกิจไฮโดรเจน“ต้องพัฒนาระบบนิเวศ(Ecosystem)อย่างต่อเนื่องโดยภาครัฐต้องกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ในขณะที่ภาคเอกชนต้องกล้าลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศส่วนภาคการศึกษาต้องเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะตรงกับความต้องการ
    การลงทุนกับไฮโดรเจนในวันนี้ ไม่ใช่แค่การลงทุนกับพลังงานทางเลือก แต่คือการลงทุนกับโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ความมั่นคงด้านพลังงานของชาติ และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
    เราต้องไม่ปล่อยให้ "โอกาสสีเขียว" นี้หลุดลอยไป.”
หมายเหตุ:
ไฮโดรเจน 5 ชนิดแตกต่างกันตาม "สี" ของกระบวนการผลิต
1. ไฮโดรเจนสีน้ำตาล (Brown Hydrogen) ใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตซึ่งมีการปล่อย CO₂ มากที่สุด
2. ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูปสารไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติด้วยไอน้ำ มีการปล่อย CO₂ รองจากไฮโดรเจนสีน้ำตาล
3. ไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen) ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ แต่ CO₂ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต จะถูกดักจับและกักเก็บด้วยเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บ (Carbon Capture and Storage : CCS)
4. ไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen) ผลิตโดยแยกไฮโดรเจนจากน้ำ (Water Electrolysis)
5. ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ผลิตจากกระบวนการ

จังหวัดสิงห์บุรี จัดพิธีวางพวงมาลา เนื่องใน “วันปิยมหาราช” ประจำปี 2568

วันที่ 23 ตุลาคม 2568 เวลา 08.30 น. ที่บริเวณหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ศาลากลางจังหวัดสิงห์บุรี นายสมบัติ ไตรศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาเนื่องใน “วันปิยมหาราช” ประจำปี 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่าน
ภายในพิธีมีนางพุฒสดี ไตรศักดิ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสิงห์บุรี นายวราดิศร อ่อนนุช รองผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี นางสาววีรวรรณ จันทนเสวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี หัวหน้าศาล นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ แม่บ้านมหาดไทย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนชาวสิงห์บุรี เข้าร่วมวางพวงมาลาอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
“วันปิยมหาราช” ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์มหาราช พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถและทรงปฏิรูปประเทศให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทั้งด้านการปกครอง การเลิกทาส การศึกษา การคมนาคม การสาธารณูปโภค และการต่างประเทศ โดยเฉพาะการเสด็จประพาสยุโรปทั้งสองครั้ง ที่ได้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคม
ด้วยพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณูปการและพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ พสกนิกรชาวไทยจึงพร้อมใจน้อมรำลึกและถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” หมายถึง “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย” เพื่อเทิดพระเกียรติและสืบสานพระราชปณิธานแห่งความรักชาติ ความสามัคคี และการพัฒนาประเทศชาติให้มั่นคงร่มเย็นสืบไป
ภาพ-ข่าว : สรวัชร สรรเพ็ชร์ ทีมข่าวจังหวัดสิงห์บุรี // รายงาน

สุพรรณบุรี แห่กฐินดาบหลวงพ่อขุนด่าน วัดดงเสลา หนึ่งเดียวในโลกลุ้นโชคถูกรางวัลลอตเตอรี่

               คึกคักขบวนแห่กฐินดาบ ถวายหลวงพ่อขุนด่าน หนึ่งเดียวในโลก ขบวนแห่ลอดซุ้มดาบยักษ์ หลวงพ่อขุนด่าน 8 ด่านอรหันต์ เพื่อตัดทุกข์ ตัดโศก ตัดโรค ตัดภัย ตัดเคราะห์กรรม และเพื่อความเป็นสิริมงคล มีโชคลาภ ยังได้ลุ้นโชคถูกรางวัลลอตเตอรี่ ติดอยู่ที่ดาบทุกเล่ม และเจ้าอาวาสได้เสกเงินก่อนโปรยทาน มีทั้งแบงก์ 1,000 แบงก์ 500 แบงก์ 100 แบงก์ 20 และเหรียญ จำนวนมาก
ที่วัดดงเสลา ต.องค์พระ  อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี  พระครูโสภิต สุวรรณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดดงเสลา จัดงานบุญกฐิน ประเพณีทอดกฐินดาบ ขบวนแห่กฐินดาบคึกคัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวัด หนึ่งปีมีครั้งเดียว ชาวบ้านชาติพันธุ์ ไทยพื้นถิ่น จีน ลาว มอญ และกะเหรี่ยง มาร่วมแห่กฐินดาบวัดดงเสลา กองกฐินแต่ละกองจะมีดาบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นประเพณี “ทอดกฐินดาบ” ของวัดดงเสลา ในขบวนแห่กฐินดาบ แต่ละกองจะมีผ้าไตร เครื่องอัฐบริขาร ส่วนผู้ร่วมขบวนจะถือดาบร่วมขบวนแห่กฐินดาบ แม้แต่ช่างภาพ ยังมีดาบกับเขาด้วย
ในขบวนมีพระนารายณ์ ทรงสุบรรณ อยู่บนราชรถ อยู่ในขบวนแห่กฐินดาบ พระนารายณ์ทรงสุบรรณ" หมายถึง พระนารายณ์หรือพระวิษณุทรงครุฑ โดยคำว่า "สุบรรณ" คือชื่อเรียกของ ครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์ แสดงถึงการปกป้องคุ้มครองภัยอันตราย และมีโชค ลาภ  ซึ่งขบวนแห่มีเครื่องขยายเสียง ดนตรี นักร้อง ขับร้องเพลง ทั้งเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ขบวนแห่กฐินดาบ ลอดซุ้มดาบยักษ์ หลวงพ่อขุนด่าน 8 ด่านอรหันต์ เชื่อว่าจะตัดทุกข์ ตัดโศก ตัดโรค ตัดภัย ตัดเคราะห์กรรม และเพื่อความเป็นสิริมงคล มีโชคลาภ  แล้ววนโบสถ์ 3 รอบ นางรำทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ สนุกกันสุดเหวี่ยง
ไฮไลท์อยู่ที่หลังจากขบวนกฐินดาบวนโบสถ์ครบ 3 รอบ ก่อนนำดาบถวายหลวงพ่อขุนด่าน มีการโปรยทานหว่านเงินชุดใหญ่ ท่านเจ้าอาวาสได้เสกเงินก่อนโปรยทาน หว่านเงิน มีทั้งแบงก์ 1,000 แบงก์ 500 แบงก์ 100 แบงก์ 20 และเหรียญจำนวนมาก ผู้ร่วมงานบุญทอดกฐินดาบ ทั้งรู้เล็ก รุ่นใหญ่ ต่างแย่งเงินโปรยทานกันอย่างคึกคัก  
สำหรับกฐินดาบหลวงพ่อขุนด่าน วัดดงเสลา ถือว่าเป็นงานบุญกฐินที่ยิ่งใหญ่ มีแห่งเดียวในประเทศ หรือแห่งเดี่ยวในโลกด้วย คนที่ถือดาบร่วมขบวนแห่กฐินดาบ จะนำดาบไปถวายหลวงพ่อขุนด่าน พระประธานในโบสถ์มหาอุตม์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ของวัดดงเสลา พร้อมกับอัญเชิญพระนารายณ์ ทรงสุบรรณ ที่อยู่บนราชรถ มาประดิษฐานภายในศาลาการเปรียญ โดยทุกคนจะนำพุ่มกฐินมาถวายให้พระสงฆ์ตามประเพณีงานบุญกฐิน  
 ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าการนำดาบ มาร่วมขบวนแห่ในงานทอดกฐินดาบ ถวายหลวงพ่อขุนด่าน พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์วัดดงเสลา จะได้ตัดทุกข์ ตัดโศก ตัดโรค ตัดภัย ตัดเคราะห์กรรม ตัดสิ่งชั่วร้ายให้หมดไป จะได้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตและครอบครัว และเพื่อความเป็นสิริมงคล มีโชค ลาภ  
ส่วนคนที่ไม่ได้เตรียมดาบมาก็สามารถมาเช่าดาบที่วัดและยังได้ลอตเตอรี่ ใส่ซองสีแดงผูกติดไว้ที่ดาบ 1 ใบ ได้ร่วมทำบุญกฐินดาบถวายหลวงพ่อขุนด่านแล้ว ยังจะได้ลุ้นถูกรางวัลลอตเตอรี่ ที่ติดอยู่กับดาบทุกเล่มอีกด้วย ซึ่งทุกคนจะเก็บลอตเตอรี่เอาไว้ลุ้นโชครางวัล งวดวันที่ 1 พ.ย.นี้ เรียกได้ว่ามาร่วมบุญทอดกฐินดาบวัดดงเสลา ทั้งอิ่มบุญและยังได้ลุ้นโชคถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่กันอีกด้วย
ด้านคุณรัญวรัชญ์ นนท์ธนาจิรศิริ เจ้าของร้านสปา จ.นนทบุรี เล่าว่าที่ผ่านมาได้มาอาบน้ำว่าน ที่วัดดงเสลา กลับไปแล้วโชคดี มีโชคลาภ ถูกรางวัลรับโชคมากว่า 20 ครั้งแล้ว และที่สำคัญธุรกิจ การงาน เจริญรุ่งเรือง วันนี้ได้มาร่วมงานบุญแห่กฐินดาบ ถวายดาบหลวงพ่อขุนด่าน วัดดงเสลา เป็นปีแรก รู้สึกดีใจ อิ่มบุญ ซึ่งได้เช่าดาบร่วมแห่กฐินดาบ ถวายหลวงพ่อขุนด่าน 10 เล่ม และได้ลุ้นโชค รางวัลลอตเตอรี่ที่ติดอยู่ที่ดาบ 10 ใบอีกด้วย แต่ยังไม่ขอแกะซองลอตเตอรี่ออกมาดูเลข เนื่องจากรอลุ้นตอนหวยออกงวดวันที่ 1 พ.ย.นี้ก่อน จึงจะแกะซองลอตเตอรี่ที่ติดมากับดาบออกมาลุ้นตรวจรางวัล
//ภัทรพล  พรมพัก  สุพรรณบุรี//

ประจวบคีรีขันธ์ _ “บังดุล” นักวิ่งจิตอาสาชาวปัตตานี วิ่งภารกิจ “ปัตตานีพิชิตภูมะเขือ” 60 จังหวัด ใต้ - เหนือ - อีสาน กว่า 2,500 กิโล เข้าสู่วันที่ 23 การวิ่ง และเข้าประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 2 แล้ว

วันที่ 22 ต.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “บังดุล” หรือ นายอับดุล สารีเต๊ะ อายุ 51 ปี นักวิ่งจิตอาสาชาวปัตตานี ซึ่งออกวิ่งเป็นวันที่ 23 ของการวิ่ง และวันที่ 2 ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผ่านอำเภอทับสะแก เข้าสู่อำเภอเมืองประจวบฯ ตามภารกิจ “ปัตตานีพิชิตภูมะเขือ” โดยเริ่มต้นจาก อ.มายอ จ.ปัตตานี มุ่งหน้าสู่ จังหวัดเชียงราย และจะวกกลับเข้าสู่ภาคอีสาน มุ่งหน้าสู่ ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ระยะทางรวมกว่า 2,500 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางร่วม 3 เดือน โดยหวังระดมเงินบริจาคจากประชาชนเพื่อนำไปสนับสนุนการสร้างกำแพงกั้นเขตแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงจัดหาสิ่งของจำเป็นมอบให้ทหารในพื้นที่
สำหรับครั้งนี้ “บังดุล” เขาเริ่มต้นวิ่งโดยใช้เส้นทางสายเอเชีย ผ่านจังหวัดสงขลา สตูล ตรัง กระบี่ พังงา ระนอง ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และจะเข้าสู่ภาคกลาง และ ราชบุรี สุพรรณ อ่างทอง นครสวรรค์ กำแพงเพชร เชียงใหม่ สุดที่เชียงราย ก่อนลงมาโซน อุตรดิตย์ เพชรบูรณ์ และเข้าสู่ภาคอีสาน ไปสิ้นสุดที่ศรีสะเกษ ซึ่งถือเป็นภารกิจวิ่งที่ยาวและเข้มข้นที่สุดของบังดุล โดยทุกวันจะวิ่งวันละราว 50 กิโลเมตร แบ่งเป็นเซตละ 10–15 กิโลเมตร
ในการวิ่งครั้งนี้ บังดุลไลฟ์ผ่าน TikTok ชื่อ “นักวิ่ง จิตอาสา” พร้อมสะพายสัมภาระและติดตั้งโทรศัพท์บนโครงเหล็กอลูมิเนียมเพื่อถ่ายทอดสด ระหว่างทางมีประชาชนที่พบเห็นต่างร่วมให้กำลังใจและบริจาคเงินตลอดเส้นทาง สำหรับบังดุล เขาคือสัญลักษณ์ของการเสียสละเพื่อชาติ และยืนยันว่า การกลับมาวิ่งเพื่อชายแดนไทยครั้งนี้ เป็นการแสดงจุดยืนว่า “คนไทยจะไม่ยอมให้ใครรุกรานแผ่นดิน” สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถร่วมสมทบทุนบริจาคได้ที่ บัญชี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาปาลัส หมายเลข บ/ช 02-0088-256-366
/////////////////////////
ข่าว    ณัฐธภพ พันสาย    /    จ.ประจวบคีรีขันธ์   0649646443

นายก อบจ.นครปฐมพร้อมด้วย สจ.กลุ่มชาวบ้าน ได้จัดเตรียมอาหารเจไว้ต้อนรับประชาชนในจังหวัดนครปฐม

 ที่  อบจ.นครปฐม โดยการนำของ นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายก อบจ.นครปฐม  และนางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา พร้อมด้วย สมาชิกสภาฯ  หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ อบจ.นครปฐม และผู้มีจิตอาสา ร่วมกันเตรียมอาหารเจ เพื่อบริการพี่น้องประชาชน  โดยได้รับความกรุณาจาก คุณแม่ สุภาพร สะสมทรัพย์ มารดา   ของ ท่านนายก จิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายก อบจ.นครปฐม เป็นผู้กำกับดูแลในทุกขั้นตอน เพื่อให้พี่น้องประชาชน ได้รับประทานอาหารที่ สด สะอาด อร่อย มีคุณภาพ 
  องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม จัดงานเทศกาลถือศีลกินเจ ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยจัดอาหารเจ ให้ทานฟรี ตลอดระยะเวลา 9 วัน ระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 11.30-13.00 น. 
   อบจ.นครปฐม ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำอาหารเจ และผู้มีจิตศรัทธาบริจาควัตถุดิบต่างๆ เพื่อนำมาประกอบอาหาร ทำให้การจัดโครงการในครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการกันอย่างเนืองแน่นในการกินเจ   ในครั้งนี้  
สมคิด  ผู้สื่อข่าว  นครปฐม

สิงห์บุรี / พิธีทอดกฐินสามัคคี ณ วัดหน้าพระธาตุ รวมใจทำบุญกฐินสามัคคี สืบสานพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่

วันที่ 23 ตุลาคม 2568 เวลา 08.00 น. ณ วัดหน้าพระธาตุ หมู่ที่ 1 ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดพิธี ทอดกฐินสามัคค...