เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ (GULF) และบริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด (CMWTE) ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมชุมชน บ้านทุ่งยาว หมู่ 8 ต.ป่าป้อง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ภายใต้โครงการ “ GULF คืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์ ปีที่ 3 “ ซึ่ง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2565-2568 ได้ร่วมกับชุมชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชุมชนห้วยต้นยาง หมู่ 8 ต.ป่าป้อง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำของจังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่กว่า 2,307 ไร่ นำโดย ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน ผช.ผอ.ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ GULF วิทยากรส่งเสริมฯ และ นายสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ผู้นำนักอนุรักษ์ป่าชุมชนห้วยต้นยาง ฯ
กิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา ได้ร่วมกับชุมชน ทำแนวกันไฟป่า การปลูกป่าเพิ่มเติม ได้ร่วมกับมูลนิธิเกษตรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์และระบบนิเวศฐานชีวภาพแก่ชุมชน และ สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชน และส่งเสริมการผลิตจุลินทรีย์ชีวภาพเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อนำ มาใช้ในการหมักใบไม้เป็นปุ๋ยลดเชื้อเพลิงในป่า การทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ ปุ๋ยหมัก จุลินทรีย์ก้อนบำบัดน้ำเสีย การผลิตสารปรับปรุงดิน การเพาะพันธุ์กล้าไม้ ฯลฯ
ปี 2567 ได้ร่วมกับ มูลนิธิเห็ดไมคอร์ไรซาเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากไมคอร์ไรซ่า (โดย ดร.สุจิตรา โกศล สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และ ผศ.ดร.วรรณา มังกิตะ มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ) ซึ่งได้จัดอบรมองค์ความรู้ให้แก่ชุมชนเกี่ยวกับการเกี่ยวกับระบบนิเวศป่าไม้ เทคนิควิธีการผลิตเชื้อราไมคอร์ไรซ่า และการใช้เชื้อเห็ดป่ากลับคืนสู่ป่าชุมชนฟื้นฟูระบบนิเวศ และส่งเสริมชุมชนปลูกป่าเศรษฐกิจเพิ่มพื้นที่สีเขียว จัดแปลงสาธิตการชุมชนด้วยนำเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซ่าใส่ในกล้าไม้นำมาปลูกเสริมการเจริญเติบโตและเป็นการเพาะเห็ดกับรากต้นไม้จะมีเห็ดกินในครัวเรือนโดยไม่ต้องเข้าป่า และ การพัฒนาครัวเรือนพึ่งตนเอง เช่น การทำเกษตรพอเพียงผักสวนครัว และการนำใบไม้ เศษอาหาร มาผลิตปุ๋ยด้วยจุลินทรีย์ใช้ในครัวเรือน เป็นต้น
ปี 2568 หลังจากมีความรู้พอสมควรแล้ว ได้ส่งเสริมการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กรชุมชนเพื่อเป็นกลไกในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งการพัฒนาฟื้นฟูป่าชุมชนและเสริมสร้างอาชีพรายได้ชุมชนควบคู่กัน ซึ่งได้จัดตั้งและจดทะเบียนกับสำนักงานเกษตรอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในนาม “ วิสาหกิจชุมชนอนุรัก์ป่าต้นน้ำห้วยต้นยาง” และมีการจัดสร้างอาคารสำนักงานและผลิตสินค้าอินทรีย์ชีวภาพเพื่อใช้และจำหน่ายเป็นรายได้ชุมชน แล้ว
ล่าสุดเดือนตุลาคม 2568 ได้มีการส่งเสริมองค์ความรู้ต่อเนื่องในยุทธศาสตร์เชื่อมโยงกับป่าชุมชน ในแนวทาง “ภารกิจลดโลกร้อน และ เสริมเศรษฐกิจชุมชน” เป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพชุมชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน จัดอบรมเชิงปฏิบัติการองค์ความรู้ในการ “ผลิตถ่านไบโอชาร์ “ ทั้งนี้เพราะชุมชนมีป่าชุมชนกว่า 2,307 ไร่ ซึ่งมีไม้ฟืน ใบไม้กิ่งไม้ จำนวนมากมหาศาล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่า และหากปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ หรือเผาโดยปกติทั่วไป ซึ่งจะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซมีเทน (CH4) ปริมาณสูงปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสภาวะก๊าซเรือนกระจก และ ภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นปัญหาระดับสากลในปัจจุบัน บริษัทฯจึงได้ร่วมกับนักวิชาการและนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ ด้านการผลิตถ่านไบโอชาร์ นายธนกร นันติ ประธานวิสาหกิจชุมชนไม้ดอกเมืองพร้าว ฯ อบรมเชิงปฏิบัติการและสอนวิธีการเผาถ่านไบโอชาร์แก่ชุมชน และบริษัท CMWTE ได้มอบถังอบถ่านไบโอชาร์และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆพร้อมหัวเชื้อจุลินทรีย์แก่ชุมชน ด้วย
ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน กล่าวว่า สำหรับองค์ความรู้ “การผลิตถ่านไบโอชาร์” และ ประโยชน์ต่อการลดโลกร้อน นั้นมีความสำคัญ ดังนี้ "ถ่านไบโอชาร์" หรือ "ถ่านชีวภาพ" ต้นไม้ที่เราปลูกใช้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากอากาศ (ก๊าซตัวนี้แหละที่ทำให้โลกร้อน) พอเราตัดต้นไม้ หรือมีเศษซากพืช เช่น ซังข้าว ข้าวโพด กิ่งไม้ ใบไม้ แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อย หรือเอาไปเผาทิ้งจะเกิดการปล่อยกาซก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ชั้นบรรยากาศ การนำมาใช้ในกระบวนการผลิตถ่านไบโอชาร์ ช่วยให้ไม่ปล่อยก๊าซพิษนั้น ถ้าเราเผาเศษพืชกลางแจ้ง ก๊าซ CO2 และควันพิษ ฝุ่น PM2.5 ก็จะพุ่งกลับไปบนฟ้า ทำให้โลกร้อนขึ้น แต่ถ้าเราเอาเศษพืชเหล่านี้มาทำไบโอชาร์ในเตาแบบพิเศษ (ที่เรียกว่า ไพโรไลซิส) มันจะเหมือนการ "กักขัง" ก๊าซคาร์บอนไว้ในเนื้อถ่าน ขังคาร์บอนไว้ในดินตลอดไป ถ่านไบโอชาร์มีโครงสร้างแข็งแรงมากมีรูพรุนเมื่อเราเอาไปคลุกกับดินคาร์บอนที่ถูกขังไว้ในถ่านก็จะอยู่แบบนั้นไปอีกหลายร้อยปี ไม่ย่อยสลายกลับไปเป็นก๊าซบนฟ้าอีก ถือเป็นการ"ฝังคาร์บอน" ลงใต้ดินอย่างถาวรนั่นเอง นอกจากนั้น ไบโอชาร์ ยังเป็นเป็นประโยชน์ยิ่งสำหรับผืนดินของเราด้วย ช่วยปรับสภาพดิน ดินร่วนซุย เก็บน้ำเก่ง เนื้อถ่านไบโอชาร์จะมีรูพรุนเยอะมาก เหมือนเป็นที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์" เหมือน "ฟองน้ำ" ที่ช่วยให้ดินร่วนซุย ไม่แน่นแข็ง และเก็บน้ำได้ดีขึ้นมาก ทำให้พืชทนแล้งได้ดี เป็นสารปรับปรุงดิน ลดปุ๋ย ลดต้นทุนเกษตรกร การมีรูพรุนของถ่านยังช่วยดูดแร่ธาตุอาหารพืช ดินดี พืชแข็งแรง เมื่อดินสมบูรณ์ รากพืชก็แข็งแรง ต้นไม้ก็โตไว ผลผลิตก็จะดีขึ้น ปัจจุบันเป็นที่นิยมนำมาใช้แพร่หลายและมีราคาสูงขึ้นในท้องตลาด กิโลกรัมละประมาณ 50-100 บาท เป็นต้น เป็นการสร้างอาชีพรายได้ชุมชนได้เป็นอย่างดี และชุมชนที่นี่มีป่าชุมชนกว่า 2,307 ไร่ และเศษวัสดุทางการเกษตรด้วย จะมีขุมทรัพย์หรือวัตถุดิบที่เป็นของเสียและไม่ต้องซื้อหาที่มีมูลค่าจำนวนมากมหาศาลเลยทีเดียว เปลี่ยนการเปลี่ยนขยะให้เป็นทองคำดำ หรือ สินค้าเป็นถ่านหุงต้มที่ไร้ควันมีก๊าซก่อมลภาวะน้อยมาก และเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน สารปรับปรุงดินทางการเกษตรและแปรรูปได้หลายชนิด ที่ช่วยทั้งเรื่องอาชีพรายได้ชุมชน ไปพร้อม ๆ กันด้วยครับ!
ดร.กฤษณ์ กล่าวว่า นี่เป็นอีกหนึ่งภารกิจ ของ GULF ในการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน และ เพื่อการอนุรักษ์ป่าชุมชนและสร้างเสริมเศรษฐกิจชุมชน และ ลดโลกร้อน อย่างยั่งยืน ซึ่งจะมีการติดตามและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องต่อไป ครับ
No comments:
Post a Comment